ไส้ติ่ง ควรมีไว้หรือให้หายไปเลยดี

ไส้ติ่ง ควรมีไว้หรือให้หายไปเลยดี

คุณเคยสงสัยไหมว่า ไส้ติ่ง มีไว้ทำไม? หลายคนเชื่อว่า ไส้ติ่งเป็นอวัยวะไร้ประโยชน์ ที่ไม่ได้ทำหน้าที่อะไรเลย แต่แท้จริงแล้ว ไส้ติ่งอาจเป็นอวัยวะสำคัญอย่างหนึ่งของร่างกายก็ได้ ไส้ติ่งเป็นอวัยวะที่หลายคนคิดว่าไม่มีประโยชน์ มักถูกตัดทิ้งเมื่อมีอาการไส้ติ่งอักเสบ ซึ่งเป็นโรคที่พบได้บ่อยในคนอายุ 10-30 ปี แต่แท้จริงแล้ว ไส้ติ่งอาจมีบทบาทสำคัญต่อร่างกายมากกว่าที่เราคิด

ไส้ติ่งเป็นอวัยวะที่มีลักษณะเป็นท่อตันยาวประมาณ 3-4 นิ้ว อยู่บริเวณจุดเชื่อมระหว่างลำไส้เล็กส่วนต้นกับลำไส้ใหญ่ หน้าที่ของไส้ติ่งยังไม่ทราบแน่ชัด แต่เชื่อว่าอาจมีหน้าที่เกี่ยวกับระบบภูมิคุ้มกัน และสะสมเชื้อแบคทีเรียที่ช่วยในระบบการย่อยอาหาร

แต่ในปัจจุบัน พบว่าไส้ติ่งอักเสบเป็นสาเหตุที่พบบ่อยที่สุดของการผ่าตัดช่องท้องในคนอายุน้อย ในประเทศไทยพบอัตราการเกิดไส้ติ่งอักเสบประมาณ 12-15 คนต่อประชากร 100,000 คนต่อปี

ไส้ติ่งมีหน้าที่อะไร?

หน้าที่ของไส้ติ่งยังไม่ทราบแน่ชัด แต่เชื่อว่าอาจมีหน้าที่เกี่ยวกับระบบภูมิคุ้มกัน และระบบย่อยอาหาร

หน้าที่เกี่ยวกับระบบภูมิคุ้มกัน

จากการศึกษาวิจัยพบว่า ไส้ติ่งเป็นแหล่งผลิตเซลล์เม็ดเลือดขาวชนิด B และ T ซึ่งทำหน้าที่ต่อต้านเชื้อโรคต่างๆ นอกจากนี้ ไส้ติ่งยังมีเยื่อบุที่คล้ายกับเยื่อบุลำไส้เล็ก ซึ่งสามารถช่วยดูดซึมสารอาหารและสารภูมิคุ้มกันจากลำไส้เล็กเข้าสู่กระแสเลือดได้

หน้าที่เกี่ยวกับระบบย่อยอาหาร

ไส้ติ่งเป็นแหล่งสะสมเชื้อแบคทีเรียชนิดดี ซึ่งมีประโยชน์ต่อระบบย่อยอาหาร โดยจะช่วยย่อยอาหาร และผลิตวิตามินบางชนิด นอกจากนี้ ไส้ติ่งยังช่วยสร้างกรดแลคติก ซึ่งสามารถช่วยยับยั้งการเจริญเติบโตของเชื้อโรคในลำไส้ได้

อย่างไรก็ตาม หน้าที่ของไส้ติ่งเหล่านี้ยังไม่เป็นที่แน่ชัด เนื่องจากยังไม่มีการศึกษาวิจัยที่ชัดเจนและน่าเชื่อถือเพียงพอ

ถ้าไม่มีไส้ติ่ง เราจะมีชีวิตอยู่ได้ไหม?

เรายังสามารถมีชีวิตอยู่ได้โดยไม่ต้องมีไส้ติ่ง จากการศึกษาวิจัยพบว่า ผู้ที่ผ่าตัดเอาไส้ติ่งออกจะมีความเสี่ยงต่อการติดเชื้อในช่องท้องเพิ่มขึ้นถึง 20% และมีโอกาสเสียชีวิตจากการติดเชื้อในช่องท้องเพิ่มขึ้นถึง 50% แต่ความเสี่ยงเหล่านี้สามารถลดได้ด้วยการรับประทานยาปฏิชีวนะหลังการผ่าตัด และการดูแลสุขอนามัยที่ดี

ดังนั้น ผู้ที่ผ่าตัดเอาไส้ติ่งออกจึงควรระมัดระวังตนเองเป็นพิเศษ และควรไปพบแพทย์ทันทีหากมีอาการผิดปกติ เช่น ปวดท้อง ท้องอืด ท้องเสีย เป็นต้น 

อย่างไรก็ตาม ยังมีการศึกษาวิจัยบางชิ้นที่ชี้ให้เห็นว่า ไส้ติ่งอาจมีบทบาทสำคัญในระบบภูมิคุ้มกัน โดยเป็นแหล่งผลิตเซลล์เม็ดเลือดขาวชนิด B และ T ซึ่งทำหน้าที่ต่อต้านเชื้อโรคต่างๆ ดังนั้น ผู้ที่ผ่าตัดเอาไส้ติ่งออกอาจเสี่ยงต่อการติดเชื้อโรคต่างๆ มากขึ้นได้

ไส้ติ่ง ควรมีไว้หรือให้หายไปเลยดี

คนที่ตัดไส้ติ่งไปแล้วจะมีปัญหาอะไรบ้าง?

คนที่ตัดไส้ติ่งไปแล้วอาจมีปัญหาได้ 2 ประการหลักๆ ดังนี้

1.ความเสี่ยงต่อการติดเชื้อในช่องท้องเพิ่มขึ้น

ไส้ติ่งเป็นอวัยวะที่มีบทบาทสำคัญในระบบภูมิคุ้มกัน โดยเป็นแหล่งผลิตเซลล์เม็ดเลือดขาวชนิด B และ T ซึ่งทำหน้าที่ต่อต้านเชื้อโรคต่างๆ หากไม่มีไส้ติ่ง ระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายอาจอ่อนแอลง ซึ่งอาจเพิ่มความเสี่ยงต่อการติดเชื้อในช่องท้องได้

2.มีอาการปวดบริเวณแผลผ่าตัด

การผ่าตัดเอาไส้ติ่งออกเป็นการผ่าตัดเล็ก ๆ โดยทั่วไปผู้ป่วยจะมีอาการปวดบริเวณแผลผ่าตัดประมาณ 1-2 สัปดาห์ อาการปวดจะค่อย ๆ ดีขึ้นตามลำดับ แต่หากมีอาการปวดรุนแรงหรือปวดเรื้อรัง ควรไปพบแพทย์เพื่อตรวจรักษา

3.ผู้ที่ตัดไส้ติ่งไปแล้วอาจมีปัญหาอื่นๆ ได้

  • ท้องร่วงหรือท้องผูกบ่อยขึ้น
  • ร่างกายดูดซึมสารอาหารได้น้อยลง
  • เสี่ยงต่อโรคแพ้ภูมิตัวเอง

อย่างไรก็ตาม ปัญหาเหล่านี้มักไม่รุนแรง และสามารถจัดการได้ด้วยการดูแลสุขภาพอย่างเหมาะสม เช่น การรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ การออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ และการพักผ่อนให้เพียงพอ

คำแนะนำสำหรับการดูแลสุขภาพสำหรับผู้ที่ตัดไส้ติ่งไปแล้ว

  • รับประทานอาหารที่มีประโยชน์ให้ครบ 5 หมู่
  • ดื่มน้ำสะอาดให้เพียงพอ
  • ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ
  • พักผ่อนให้เพียงพอ
  • หลีกเลี่ยงการรับประทานอาหารรสจัด อาหารที่มีไขมันสูง และเครื่องดื่มแอลกอฮอล์
  • หากมีอาการผิดปกติ เช่น ปวดท้อง ท้องเสีย ท้องผูก น้ำหนักลด ควรไปพบแพทย์

ไส้ติ่งอักเสบคืออะไร อาการเป็นอย่างไร

ไส้ติ่งอักเสบ (Appendicitis) คือ ภาวะที่ไส้ติ่งเกิดการอักเสบติดเชื้อ อาจเกิดจากสาเหตุต่างๆ เช่น อุดตันของไส้ติ่งด้วยก้อนอุจจาระ สิ่งแปลกปลอม หรืออาหาร เป็นต้น หากไส้ติ่งอักเสบรุนแรงอาจทำให้ไส้ติ่งแตกทะลุ และติดเชื้อในช่องท้องได้

อาการของไส้ติ่งอักเสบ ได้แก่

  • ปวดท้องบริเวณขวาล่าง ปวดแบบรุนแรง อาจปวดร้าวไปที่ขาขวา
  • คลื่นไส้ อาเจียน
  • เบื่ออาหาร
  • ท้องอืด ท้องเฟ้อ
  • อาจมีไข้ต่ำๆ

หากมีอาการเหล่านี้ควรรีบไปพบแพทย์เพื่อตรวจวินิจฉัยและรักษาอย่างทันท่วงที

การรักษาไส้ติ่งอักเสบ คือ การผ่าตัดเอาไส้ติ่งออก การผ่าตัดสามารถทำได้โดยการผ่าตัดเปิดหน้าท้องหรือการผ่าตัดแผลเล็ก ซึ่งการผ่าตัดเปิดหน้าท้องจะใช้เวลานานกว่าการผ่าตัดแผลเล็ก แต่แผลผ่าตัดจะใหญ่กว่าและใช้เวลาในการฟื้นตัวนานกว่า

หลังผ่าตัดเอาไส้ติ่งออก ผู้ป่วยสามารถรับประทานอาหารได้ตามปกติ แต่ควรรับประทานอาหารที่ย่อยง่าย และหลีกเลี่ยงอาหารที่มีไขมันสูงหรืออาหารรสจัด

ภาวะแทรกซ้อนของไส้ติ่งอักเสบ ได้แก่

  • ไส้ติ่งแตกทะลุ ภาวะนี้อาจทำให้ติดเชื้อในช่องท้อง ซึ่งอาจรุนแรงถึงขั้นเสียชีวิตได้
  • เยื่อบุช่องท้องอักเสบ ภาวะนี้อาจทำให้ติดเชื้อในช่องท้อง และอาจรุนแรงถึงขั้นเสียชีวิตได้
  • ฝีในช่องท้อง ภาวะนี้อาจทำให้เกิดอาการปวดท้องเรื้อรัง และอาจต้องผ่าตัดเพื่อระบายหนองออก

การดูแลตนเองเพื่อป้องกันไส้ติ่งอักเสบ ได้แก่

  • รับประทานอาหารที่ย่อยง่าย และหลีกเลี่ยงอาหารที่มีไขมันสูงหรืออาหารรสจัด
  • ดื่มน้ำให้เพียงพอ
  • ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ
  • รักษาความสะอาดของร่างกาย
  • ตรวจสุขภาพประจำปีเป็นประจำ

ข้อมูลทางวิชาการ

การศึกษาวิจัยพบว่า ไส้ติ่งอาจมีบทบาทสำคัญต่อระบบภูมิคุ้มกันของร่างกาย โดยเป็นแหล่งสะสมของเซลล์เม็ดเลือดขาวและเซลล์ภูมิคุ้มกันชนิดอื่นๆ ซึ่งจะช่วยป้องกันร่างกายจากการติดเชื้อต่างๆ นอกจากนี้ ไส้ติ่งยังเป็นแหล่งผลิตแบคทีเรียที่มีประโยชน์ต่อระบบย่อยอาหารอีกด้วย

จากการศึกษาวิจัยพบว่า ผู้ที่ผ่าตัดเอาไส้ติ่งออกจะมีความเสี่ยงต่อการติดเชื้อในช่องท้องเพิ่มขึ้นถึง 20% และมีโอกาสเสียชีวิตจากการติดเชื้อในช่องท้องเพิ่มขึ้นถึง 50% โดยเฉพาะในเด็กเล็กและผู้สูงอายุ นอกจากนี้ คนที่ตัดไส้ติ่งไปแล้วอาจมีปัญหาในการย่อยอาหาร เช่น ท้องอืด ท้องเฟ้อ ท้องเสีย เป็นต้น

บทสรุป

จากข้อมูลทางวิชาการข้างต้น แสดงให้เห็นว่า ไส้ติ่งอาจมีบทบาทสำคัญในระบบภูมิคุ้มกันของร่างกาย โดยไส้ติ่งเป็นแหล่งสะสมของเซลล์ภูมิคุ้มกันชนิดต่าง ๆ และผลิตสารที่ช่วยย่อยอาหารบางชนิด

ดังนั้น ไส้ติ่งอาจไม่ใช่อวัยวะไร้ประโยชน์อย่างที่หลายคนเข้าใจ แต่อาจเป็นอวัยวะสำคัญอย่างหนึ่งของร่างกาย จึงควรรักษาไส้ติ่งไว้ให้ดีที่สุด หากมีอาการไส้ติ่งอักเสบควรรีบพบแพทย์เพื่อรักษาอย่างทันท่วงที แม้ว่าไส้ติ่งจะมีทั้งประโยชน์และโทษ แต่ผู้ที่ผ่าตัดเอาไส้ติ่งออกยังสามารถมีชีวิตอยู่ได้ปกติ 

 

เขียนโดยผู้เชี่ยวชาญงานเขียน

นามปากกา : จุดสมดุล