11 สัญญาณอันตรายของ “โรคแพ้ภูมิตัวเอง” (SLE)

ผื่นบริเวณใบหน้าและมีการกระจายเป็นรูปผีเสื้อ

โรคแพ้ภูมิตัวเองหรือซีเลอร์อัตโนมัติ (Systemic Lupus Erythematosus หรือ SLE) เป็นโรคที่เกิดจากการเกิดปัญหาในระบบภูมิคุ้มกันภายในร่างกาย และอาจมีผลกระทบต่อส่วนต่างๆ ของร่างกายได้ เนื่องจากภูมิคุ้มกันทำงานผิดปกติ หนึ่งในสัญญาณที่ช่วยในการตรวจสอบว่าเป็นเบื้องต้นของ SLE คือผื่นบริเวณใบหน้าที่มีลักษณะเป็นรูปผีเสื้อ จึงมักจะเรียกว่า “ผื่นบนใบหน้าแบบผีเสื้อ” (butterfly rash) เนื่องจากรูปร่างของผื่นจะคล้ายกับรูปร่างของผีเสื้อที่ปีกเสียบกับใบหน้า

ผื่นผิวหนังชนิดที่เรียกว่าผื่นดีสคอยด์

ผื่นดีสคอยด์ (Discoid rash) เป็นอีกหนึ่งลักษณะของผื่นที่พบได้บ่อยในผู้ที่เป็น SLE โดยผื่นจะมีลักษณะเป็นแผ่นสีแดงหรือแผลหนักที่เกิดขึ้นบนผิวหนัง ผื่นดีสคอยด์สามารถพบได้ทั่วร่างกาย แต่มักพบบ่อยที่บริเวณใบหน้า ใบหู ลำตัว และแขนขา

อาการแพ้แดด

ผู้ที่เป็น SLE มักจะมีความไวต่อแสงแดด เมื่อได้รับแสงแดดโดยตรงผิวหนังอาจเกิดอาการผื่นแดงอย่างรุนแรง อาจมีอาการรุนแรงขึ้นเมื่อแสงแดดส่องตรงบนผื่นผิวหนัง ผู้ที่เป็นโรค SLE ควรหลีกเลี่ยงการออกแดดในช่วงเวลาที่แสงแดดมีความเข้มข้นสูง เพื่อลดความรุนแรงของอาการแพ้แดด

มีแผลในปาก

ผู้ที่เป็น SLE อาจพบว่ามีแผลในปาก ซึ่งอาจเป็นแผลเริ่มต้นที่เล็กน้อยและไม่เป็นอันตราย แต่ในบางกรณีแผลอาจเป็นที่เกิดเสียวหรือแผลและทำให้เกิดความรู้สึกไม่สบาย ผู้ที่มีแผลในปากควรปรึกษาแพทย์เพื่อการวินิจฉัยและการรักษาที่เหมาะสม

ข้ออักเสบ

ข้ออักเสบเป็นอาการที่พบได้ในผู้ที่เป็น SLE โดยส่วนของข้อต่างๆ ในร่างกายอาจเกิดการอักเสบ ซึ่งอาจเป็นอันตรายและก่อให้เกิดอาการปวดและรบกวนในการเคลื่อนไหว ในบางกรณีอาจทำให้เกิดภาวะข้ออักเสบเรื้อรังซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อคุณภาพชีวิตของผู้ที่เป็น SLE

ไตอักเสบ

ไตเป็นอวัยวะที่สำคัญในการขับถ่ายสารเสียและสารอันตรายออกจากร่างกาย ผู้ที่เป็น SLE อาจพบว่ามีปัญหาในระบบไต อาการไตอักเสบอาจเกิดขึ้นเมื่อมีการสะสมของโปรตีนหรือไข่ขาวในปัสสาวะมากกว่าปกติ ผู้ที่มีอาการไตอักเสบควรรับการตรวจสอบและการดูแลจากแพทย์เพื่อป้องกันและรักษาโรคไตอักเสบให้เหมาะสม

อาการชักหรืออาการทางระบบประสาทอื่นๆ

อาการชักหรืออาการทางระบบประสาทอื่นๆ เป็นอาการที่อาจพบในผู้ที่เป็น SLE โดยอาการเหล่านี้อาจเกิดขึ้นเมื่อเยื่อหุ้มปอด หรือหัวใจ หรือเยื่อหุ้มสมองอักเสบ ผู้ที่มีอาการดังกล่าวควรปรึกษาแพทย์เพื่อการวินิจฉัยและการรักษาที่เหมาะสม

อาการซีด เม็ดเลือดขาวต่ำ หรือเกล็ดเลือดต่ำ

ผู้ที่เป็น SLE อาจพบว่ามีอาการซีด มีจำนวนเม็ดเลือดขาวในเลือดน้อยกว่าปกติ หรือมีจำนวนเกล็ดเลือดในเลือดน้อยกว่าปกติ โดยที่ไม่ได้เกิดจากการใช้ยาหรือการติดเชื้อ อาการดังกล่าวควรรับการตรวจสอบและการรักษาจากแพทย์

ตรวจพบแอนตินิวเคลียร์แอนติบอดี (antinuclear antibody) ในเลือด

การตรวจเลือดสำหรับผู้ที่เสี่ยงเป็น SLE อาจพบการตอบสนองของแอนตินิวเคลียร์แอนติบอดี (antinuclear antibody) ในเลือด เป็นสัญญาณเตือนที่ช่วยในการวินิจฉัยโรค SLE ผู้ที่พบผลตรวจเชิงบวกนี้ควรปรึกษาแพทย์เพื่อการวินิจฉัยและการดูแลเพิ่มเติม

ตรวจพบแอนติบอดีต่อดีเอ็นเอ (anti-dsDNA) หรือการตรวจพบแอนติฟอสโฟไลปิดแอนติบอดี หรือการตรวจเลือดพบผลบวกปลอมต่อการตรวจซิฟิลิส

การตรวจเลือดสำหรับผู้ที่เสี่ยงเป็น SLE อาจพบการตอบสนองของแอนติบอดีต่อดีเอ็นเอ (anti-dsDNA) หรือการตรวจพบแอนติฟอสโฟไลปิดแอนติบอดี (antiphospholipid antibody) หรือการตรวจเลือดที่พบผลบวกปลอมต่อการตรวจซิฟิลิส (false-positive syphilis test) การตรวจเลือดเหล่านี้เป็นส่วนหนึ่งของการวินิจฉัยโรค SLE และควรรับการตรวจสอบและการดูแลเพิ่มเติมจากแพทย์